Bauhaus โรงเรียนศิลปะหัวก้าวหน้า (ตอนจบ) - DSUN 7
Utopia Under Siege: การเดินทางอันรุ่งโรจน์และน่าเศร้าของ Bauhaus สู่ตำนานอมตะ
เรื่องราวของ Bauhaus ไม่ใช่เพียงประวัติศาสตร์ของโรงเรียนสอนออกแบบ แต่คือมหากาพย์แห่งการต่อสู้ทางความคิด, การปฏิวัติทางศิลปะ, และการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองของเยอรมนีในยุคระหว่างสงคราม มันคือการเดินทางผ่าน 3 เมือง, 3 ผู้อำนวยการ, และ 3 ยุคสมัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งได้หล่อหลอมให้แนวคิดเล็กๆ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล
ภาคที่ 1: ไวมาร์ (Weimar, 1919-1925) - เบ้าหลอมแห่งจิตวิญญาณและเหตุผลนิยม
การเริ่มต้น ณ เมืองไวมาร์ คือช่วงเวลาแห่งการทดลองที่ดิบและเปี่ยมไปด้วยพลังที่สุด มันคือสมรภูมิทางความคิดระหว่างสองปรัชญาที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางของหลักสูตรพื้นฐาน (Preliminary Course) อันเลื่องชื่อ
จิตวิญญาณและสัญชาตญาณ: อิทธิพลของ Johannes Itten ในช่วงแรกเริ่ม Johannes Itten (โยฮันเนส อิตเทน) คือผู้กุมบังเหียนทางความคิด เขาเป็นศิลปินสาย Expressionism และผู้ศรัทธาในลัทธิ Mazdaznan เขาเชื่อว่าการสร้างสรรค์ที่แท้จริงต้องมาจาก "ภายใน" ไม่ใช่การลอกเลียนแบบโลกภายนอก หลักสูตรของเขาจึงเปรียบเสมือนการฝึกตนทางจิตวิญญาณ:
- การปลดปล่อยตัวตน: Itten ให้นักศึกษาเริ่มต้นวันด้วยการทำสมาธิ, การฝึกหายใจ, และการออกกำลังกาย เพื่อทำลายกรอบความคิดแบบเดิมๆ ที่ติดตัวมา และเปิดทางให้สัญชาตญาณดิบได้แสดงออกมาผ่านผลงาน 
- การเรียนรู้ผ่านความขัดแย้ง (Contrast): เขาสอนให้เห็นความขัดแย้งในทุกมิติ ไม่ใช่แค่สีร้อน-เย็น แต่ยังรวมถึง วัสดุ (เรียบ-หยาบ, ใส-ทึบ), รูปทรง (โค้ง-ตรง), และแนวคิด (เก่า-ใหม่) ดังเช่นผลงานที่นำโหลแก้วใสสะอาดมาพันด้วยใบเลื่อยขึ้นสนิม ซึ่งเป็นการท้าทายการรับรู้ของผู้คน 
เหตุผลนิยมและภาษาที่เป็นสากล: การมาถึงของ De Stijl และ Constructivism
ในขณะที่ Itten เน้นเรื่องจิตวิญญาณ กระแสความคิดใหม่ที่ทรงพลังจากภายนอกก็ได้แทรกซึมเข้ามา Theo van Doesburg ผู้นำกลุ่ม De Stijl (เดอ สไตล์) จากเนเธอร์แลนด์ ได้นำเสนอแนวคิดที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาเชื่อในการลดทอนทุกสิ่งให้เหลือเพียงองค์ประกอบพื้นฐานที่สุด—เส้นตรง, สี่เหลี่ยม, และแม่สี—เพื่อสร้าง "ภาษาที่เป็นสากล" ที่ทุกคนในโลกสามารถเข้าใจได้โดยปราศจากอิทธิพลทางวัฒนธรรม
แนวคิดนี้ได้รับการขานรับและผลักดันไปอีกขั้นโดย László Moholy-Nagy (ลาสโล โมโฮลี-นาдь) ศิลปินชาวฮังการีผู้มาแทนที่ Itten ในปี 1923 Nagy คือผู้ประกาศสโลแกนใหม่ที่กลายเป็นหัวใจของ Bauhaus ในยุคต่อมา: "Art and Technology – A New Unity" เขาปฏิเสธแนวทางที่เพ้อฝันและมุ่งเน้นให้การออกแบบตั้งอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยี, ประโยชน์ใช้สอย, และการแก้ปัญหาอย่างเป็นเหตุเป็นผล
กำเนิดผลงานไอคอนิก: การปะทะและผสมผสานทางความคิดนี้ได้ให้กำเนิดนักศึกษาดาวรุ่งและผลงานที่เป็นอมตะ:
- Marcel Breuer (มาร์เซล บรอยเออร์): ได้รับแรงบันดาลใจจากแฮนด์จักรยานที่ทำจากท่อเหล็กดัด เขาได้ทดลองนำวัสดุเดียวกันนี้มาออกแบบเก้าอี้ "Wassily Chair" ซึ่งปฏิวัติวงการเฟอร์นิเจอร์ไปตลอดกาล 
- Marianne Brandt (มารีอันเนอ บรันดท์): สตรีผู้ทลายกำแพงทางเพศในเวิร์คช็อปโลหะ เธอได้ออกแบบกาน้ำชา "Tea Infuser MT49" ที่มีรูปทรงเรขาคณิตอันบริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบ ซึ่งสะท้อนปรัชญาของยุคใหม่อย่างแท้จริง 
จุดแตกหัก: อุดมการณ์ที่ล้ำหน้าและวิถีชีวิตที่อิสระของชาว Bauhaus (การจัดปาร์ตี้, การแต่งกายแปลกประหลาด) ได้สร้างแรงเสียดทานอย่างรุนแรงกับชาวเมืองไวมาร์ผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ประกอบกับแรงกดดันทางการเมืองจากรัฐบาลท้องถิ่นฝ่ายขวาจัดที่ตัดงบประมาณสนับสนุน ทำให้ในปี 1925 Bauhaus จำต้องปิดฉากยุคแห่งการบุกเบิกลง และย้ายไปยังบ้านหลังใหม่ที่เมืองเดสเซา
ภาคที่ 2: เดสเซา (Dessau, 1925-1932) - ยุคทองแห่งการออกแบบและเงาของการเมือง
การย้ายมายังเดสเซาคือยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของ Bauhaus Gropius ได้รับงบประมาณเต็มที่ในการออกแบบอาคารเรียนแห่งใหม่ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมโมเดิร์นมาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นช่วงเวลาที่ปรัชญาของโรงเรียนได้ตกผลึกและสร้างผลงานที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง
ความสำเร็จเชิงพาณิชย์และนวัตกรรม:
- ยุคแห่งท่อเหล็ก: ที่เดสเซา Marcel Breuer ได้พัฒนานวัตกรรมที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งคือ "Cantilever Chair" เก้าอี้ไร้ขาหลังที่อาศัยความยืดหยุ่นของท่อเหล็กในการรับน้ำหนัก ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของเก้าอี้โมเดิร์นจำนวนมาก 
- การเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรม: Bauhaus เริ่มประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะแผนกวอลเปเปอร์ที่สร้างรายได้มหาศาล และการขายลิขสิทธิ์การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้กับบริษัทภายนอก 
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายใน:
- Hannes Meyer (ฮันเนส เมเยอร์): ในปี 1928 Gropius ได้ลาออกและส่งมอบตำแหน่งให้กับ Meyer สถาปนิกชาวสวิสผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์มาร์กซิสต์ Meyer ได้ปรับเปลี่ยนหลักสูตรทั้งหมดโดยยึดหลัก "ความต้องการของมวลชน เหนือความต้องการของความหรูหรา" (The needs of the people instead of the needs of luxury) เขานำโครงการสถาปัตยกรรมจริงๆ เข้ามาให้นักศึกษาทำ ทำให้โรงเรียนมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ปลูกฝังอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้น จนทำให้ Bauhaus กลายเป็นเป้าโจมตีของพรรคนาซีที่กำลังเรืองอำนาจ 
- Mies van der Rohe (มีส ฟาน เดอร์ โรห์): ด้วยแรงกดดันทางการเมือง Meyer ถูกบีบให้ลาออกในปี 1930 และ Mies สถาปนิกผู้โด่งดังด้วยปรัชญา "Less is More" ได้เข้ามาเป็นผู้อำนวยการคนสุดท้าย เขาพยายาม "ชำระล้าง" การเมืองออกจากโรงเรียนและมุ่งเน้นไปที่การสอนสถาปัตยกรรมอย่างเข้มข้นเพียงอย่างเดียว 
แต่ความพยายามของ Mies ก็ไม่อาจต้านทานกระแสลมแห่งความเกลียดชังได้ ในปี 1932 สภาเมืองเดสเซาที่ถูกควบคุมโดยพรรคนาซีได้ลงมติสั่งปิด Bauhaus
ภาคที่ 3: เบอร์ลิน (1932-1933) และการพลัดถิ่น - จุดจบและจุดเริ่มต้นใหม่
Mies ไม่ยอมแพ้ เขาทุ่มเททุนส่วนตัวย้ายโรงเรียนไปยังโรงงานร้างในกรุงเบอร์ลิน และพยายามดำเนินกิจการต่อในฐานะสถาบันเอกชน แต่ก็เป็นเพียงการยื้อลมหายใจเฮือกสุดท้าย ในเดือนเมษายน ปี 1933 หลังจากที่ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ ตำรวจลับ Gestapo ได้บุกเข้าปิดสถาบัน Bauhaus อย่างถาวร ถือเป็นจุดสิ้นสุดของตำนาน 14 ปีบนแผ่นดินเยอรมนี
การพลัดถิ่นที่หว่านเมล็ดพันธุ์ไปทั่วโลก (The Diaspora): การปิดตัวของ Bauhaus กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แนวคิดนี้แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว คณาจารย์และนักศึกษาคนสำคัญต่างลี้ภัยจากการคุกคามของนาซีไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา:
- Walter Gropius และ Marcel Breuer ไปเป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 
- László Moholy-Nagy ก่อตั้งสถาบัน New Bauhaus ที่เมืองชิคาโก 
- Mies van der Rohe กลายเป็นคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ Illinois Institute of Technology (IIT) 
การพลัดถิ่นครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งโมเดิร์นนิซึมไปทั่วโลก และทำให้อิทธิพลของ Bauhaus หยั่งรากลึกและส่งผลต่อโลกแห่งการออกแบบ, สถาปัตยกรรม, และศิลปะมาจวบจนทุกวันนี้
สำหรับใครที่ยังไม่ได้รับฟังเรื่องราว ก่อนหน้าที่จะมาเป็น Bauhaus สามารถติดตามรับฟัง
intro to Bauhaus ได้ที่ link
และ
Bauhaus manifesto ได้ที่ link

