เทคนิคการผลิตที่นักออกแบบควรรู้ Acrylic : โลกใสๆของแผ่นพลาสติก - DSUN 16

อะคริลิก (Acrylic): วัสดุใสที่คุณต้องรู้จักในโลกแห่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์

ในโลกของการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมคือหัวใจสำคัญที่กำหนดทั้งความสวยงาม ฟังก์ชันการใช้งาน และต้นทุนการผลิต "อะคริลิก" (Acrylic) คือหนึ่งในวัสดุพลาสติกที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ด้วยคุณสมบัติเด่นในเรื่องของ ความใส ที่เทียบเท่ากระจก แต่มาพร้อมความทนทานและน้ำหนักที่เบากว่า บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของอะคริลิก ตั้งแต่ที่มา ประเภท ไปจนถึงกระบวนการแปรรูป เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้วัสดุสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณ

จากสมรภูมิสู่โลกดีไซน์: ประวัติศาสตร์ของอะคริลิก

อะคริลิกไม่ได้เป็นวัสดุใหม่ แต่ถูกค้นพบมาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 และเริ่มมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยถูกนำมาใช้ทดแทนกระจกสำหรับชิ้นส่วนต่างๆ เช่น หน้าต่างเรือดำน้ำหรือฝาครอบห้องนักบินของเครื่องบินรบ เหตุผลสำคัญคือความปลอดภัยที่เหนือกว่า เมื่อเกิดการกระแทก อะคริลิกจะไม่แตกเป็นเศษแหลมคมอันตรายเหมือนกระจก หลังสงครามสิ้นสุดลง ด้วยคุณสมบัติที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว อะคริลิกจึงถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

ประเภทของอะคริลิกในอุตสาหกรรม

โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งอะคริลิกตามกระบวนการผลิตได้เป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันไป

* อะคริลิกแบบแผ่น (Sheet): เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดในท้องตลาด ผลิตได้จาก 2 เทคนิคหลัก

* การหล่อ (Casting/Deposit): เป็นการเทน้ำยาอะคริลิกลงในแม่พิมพ์เพื่อขึ้นรูปเป็นแผ่น วิธีนี้สามารถผลิตแผ่นอะคริลิกที่มีความหนามากๆ ได้ (สูงสุดถึง 5 ซม. ในไทย) เหมาะสำหรับงานที่ต้องการโชว์ความหนา เช่น โล่รางวัลหรืองานตกแต่ง

* การรีด (Extrusion): เป็นการหลอมเม็ดพลาสติกแล้วรีดออกมาเป็นแผ่นต่อเนื่อง วิธีนี้สามารถผลิตแผ่นที่มีความยาวมากๆ ได้ แต่มีความหนาจำกัด เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยาวเป็นพิเศษและงานตัดด้วยเลเซอร์ที่ต้องการความเรียบเนียนของขอบ

* อะคริลิกแบบฉีด (Injection): คือการใช้เม็ดพลาสติกอะคริลิกมาหลอมและฉีดเข้าสู่แม่พิมพ์ (Mold) เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่มีรูปทรง 3 มิติที่ซับซ้อน เหมาะกับการผลิตชิ้นงานจำนวนมากที่ต้องการความแม่นยำสูง

* อะคริลิกแบบหล่อ (Resin Casting): มีกระบวนการคล้ายกับการหล่อเรซินทั่วไป คือการผสมสารเคมีแล้วเทลงในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ เหมาะกับการสร้างชิ้นงาน 3 มิติที่มีรูปทรงเฉพาะตัวและต้องการความใสเป็นพิเศษ

กระบวนการแปรรูปอะคริลิก: เปลี่ยนแผ่นใสให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์

ความโดดเด่นของอะคริลิกคือความสามารถในการแปรรูปได้หลากหลายวิธี ทำให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีรูปทรงแตกต่างกันได้อย่างอิสระ

* การตัด (Cutting): สามารถทำได้ตั้งแต่การใช้เครื่องมือง่ายๆ อย่างคัตเตอร์สำหรับกรีด ไปจนถึงเครื่องจักรที่ให้ความแม่นยำสูงอย่าง เครื่อง CNC ที่ให้ขอบงานเรียบ หรือ เครื่องเลเซอร์ ที่สามารถตัดชิ้นงานเล็กๆ และมีลวดลายซับซ้อนได้ดี

* การดัด (Bending): เป็นการให้ความร้อนแก่อะคริลิกเฉพาะจุดด้วยลวดความร้อน เมื่ออะคริลิกอ่อนตัวลงก็จะสามารถดัดพับให้เป็นมุมหรือรูปทรงที่ต้องการได้ เช่น การทำกล่องหรือชั้นวางของ

* การเป่าขึ้นรูป (Blow Forming): ใช้สำหรับสร้างรูปทรงโค้งมนแบบโดม โดยการให้ความร้อนทั้งแผ่นอะคริลิกจนอ่อนตัว จากนั้นจึงเป่าลมดันให้แผ่นอะคริลิกโป่งขึ้นรูปตามแม่พิมพ์ เช่น การทำโดมสำหรับสัตว์เลี้ยงหรือโคมไฟดีไซน์

* การขึ้นรูปแบบสุญญากาศ (Vacuum Forming): เป็นการดึงแผ่นอะคริลิกที่ได้รับความร้อนจนอ่อนตัวให้แนบไปกับแม่พิมพ์สามมิติด้วยแรงดูดของสุญญากาศ เหมาะกับการทำชิ้นงานที่มีรายละเอียดไม่ลึกมากนัก

ข้อดี-ข้อควรระวังในการเลือกใช้อะคริลิก

จุดเด่นที่น่าสนใจ

* ความใส: ให้ความรู้สึกโปร่งใส หรูหรา ทันสมัย

* น้ำหนักเบา: เบากว่ากระจกที่ความหนาเท่ากันเกือบครึ่ง ทำให้สะดวกต่อการติดตั้งและขนส่ง

* ทนทาน: ทนต่อแรงกระแทกได้ดีกว่ากระจก

* แปรรูปง่าย: สามารถตัด ดัด พับ หรือขึ้นรูปทรงต่างๆ ได้หลากหลายกว่า

ข้อควรพิจารณา

* เป็นรอยขีดข่วนง่าย: ผิวของอะคริลิกไม่ทนต่อรอยขีดข่วน จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้งานในพื้นที่ที่มีการสัมผัสหรือเสียดสีบ่อยครั้ง หรืออาจต้องมีกระบวนการเคลือบผิวเพื่อเพิ่มความทนทาน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น

* กระบวนการผลิตซับซ้อน: การแปรรูปอะคริลิกให้ได้ชิ้นงานที่สวยงาม ไร้ที่ติ (เช่น การต่อกาวโดยไม่ให้เกิดฟองอากาศ) ต้องอาศัยช่างที่มีทักษะและความชำนาญสูง ทำให้มีต้นทุนด้านแรงงานที่สูงกว่าพลาสติกชนิดอื่น

* ความเปราะ: แม้จะทนทานกว่ากระจก แต่อะคริลิกก็ยังมีความเปราะ ไม่ยืดหยุ่นเท่าพลาสติกวิศวกรรมชนิดอื่นๆ เช่น ABS หรือ Polycarbonate จึงต้องออกแบบโครงสร้างให้เหมาะสมกับการรับน้ำหนัก

บทสรุป

อะคริลิก เป็นวัสดุที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ด้วยความใสที่สวยงามและคุณสมบัติที่แปรรูปได้หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การจะดึงเอาจุดเด่นของวัสดุมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น จำเป็นต้องมีความเข้าใจในข้อจำกัดและเลือกใช้กระบวนการผลิตที่เหมาะสมกับดีไซน์และฟังก์ชันของผลิตภัณฑ์นั้นๆ

หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถให้คำปรึกษาด้านการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบที่เหมาะสม ติดต่อเรา เพื่อเริ่มต้นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและการใช้งานไปพร้อมกัน

Previous
Previous

Dieter Rams (ตอนที่ 1) นักออกแบบผลิตภัณฑ์ กับ นิยามของ Minimalism - DSUN 17

Next
Next

Requirement Document : แค่บรีฟดี อุบัติเหตุทางดีไซน์ก็ลดลง Dsun 15